Beth Schlachter กรรมการบริหารของ Family Planning 2020 ได้นำเสนอ เกี่ยวกับ Family Planning 2020 หรือ FP2020 นั้นเป็นความร่วมมือในระดับโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้หญิงและเด็กหญิงอีก 120 ล้านคน สามารถเข้าถึงและใช้ยาคุมกำเนิดได้ ภายในปีพ.ศ. 2563 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคต คือ ผู้หญิงและวัยรุ่นหญิงทุกคนนั้น มีอิสระ และความสามารถในการตัดสินใจของตนเองเกี่ยวกับการใช้การคุมกำเนิดสมัยใหม่ ความต้องการที่จะมีลูกหรือไม่มี การมีสุขภาพที่ดี และการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกันในสังคมและการพัฒนา
ผลลัพธ์ระดับวิสัยทัศน์
การใช้ยาคุมกำเนิดสมัยใหม่โดยการสมัครใจสำหรับทุกคนที่ต้องการ โดยผ่านทางเลือกและหน่วยงานที่มีข้อมูลของ แต่ละบุคคล ระบบที่ตอบสนองและยั่งยืน การคุมกำเนิดที่หลากหลาย และสภาพแวดล้อมของนโยบายที่สนับสนุน
โดยผลลัพธ์นี้ ได้เน้นถึงความก้าวหน้าไปสู่วิสัยทัศน์ที่จะถูกตรวจสอบ ผ่านกรอบการวัดผลของ FP2030 ได้แก่
- แต่ละบุคคลมีข้อมูลที่เกี่ยวกับวิธีการและผลข้างเคียง สำหรับทางเลือกในการคุมกำเนิดที่หลากหลาย และความสามารถในการใช้สิทธิของตน เพื่อพิจารณาว่าพวกเขาอยากมีลูกเมื่อไหร่ และกี่คน
- ระบบสุขภาพที่ตอบสนองอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน สำหรับการให้บริการ และอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง สำหรับวิธีการคุมกำเนิดที่หลากหลาย
- ประเทศสมาชิกมีนโยบายสนับสนุนการจัดหาเงินทุน และสภาพแวดล้อมในการให้บริการสำหรับการคุมกำเนิดโดยสมัครใจ
ประเด็นที่มุ่งเน้น ได้แก่
- บรรทัดฐาน ทางสังคม วัฒนธรรม และเพศอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลโดยตรงต่อความสามารถของผู้หญิงและวัยรุ่นหญิงในการควบคุม เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนามัยเจริญพันธุ์ของพวกเธอ การปรับใช้พฤติกรรมอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ดี รวมถึงการใช้การคุมกำเนิดสมัยใหม่โดยการสมัครใจ ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของพวกเธอ รวมถึงของครอบครัว ชุมชน และประเทศ
- นอกเหนือจากการจัดการกับอุปสรรคสำหรับผู้หญิงและเด็กหญิง ในการเข้าถึงยาคุมกำเนิดสมัยใหม่อย่างครบวงจรแล้วโครงการต่าง ๆ ต้องให้การสนับสนุนในการจัดการกับบรรทัดฐานและแนวปฏิบัติที่เป็นอันตราย เช่น การแต่งงานก่อนวัยอันควร และความรุนแรงทางเพศ ตลอดจนบรรทัดฐานเชิงบวก เช่น การให้เด็กหญิงได้เรียนหนังสือ การให้ผู้ชายและเด็กชายในฐานะคู่ครองมีส่วนร่วมในการใช้ยาคุมกำเนิด และส่งเสริมให้มีช่วงเวลาและระยะห่างของการตั้งครรภ์
- ความร่วมมือของ FP2020 จะเน้นย้ำถึงความพยายามในการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกมากขึ้น
Elisa Oreglia, Lecturer และ Camille Tijamo (คามีลี ทีชามู) ได้นำเสนองานวิจัย เรื่องการใช้สมาร์ทโฟนและ อนามัยการเจริญพันธุ์ในประเทศกัมพูชา: การศึกษาเชิงคุณภาพ และการวิจัยพหุวิทยาการ
การวิจัยนี้ ได้ทำการศึกษาที่เมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ เชิงสำรวจ ระหว่าง พ.ศ. 2561 – 2562 เพื่อทำการตรวจสอบ
- วิธีการใช้สมาร์ทโฟน และวิธีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการคุมกำเนิด และการทำแท้งด้วยยาทางออนไลน์และออฟไลน์ของคนงานหญิงในโรงงานที่ประเทศกัมพูชา
- ข้อมูลในรูปแบบที่มีอยู่ในทางออนไลน์และวิธีค้นหา
วิธีการวิจัย ได้แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
ในระยะที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเชิงกว้างกับคนงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า การสังเกตโดยตนเองและทางออนไลน์ รวมถึงการสนทนาแบบไม่เป็นทางการ การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือและสุขภาพโดยทั่วไป
ในระยะที่ 2 มุ่งเน้นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีการสัมภาษณ์ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพเอกชน และผู้รับการบริการทำแท้งด้วยยา จากนั้นจึงทำการค้นหาทางออนไลน์ เพื่อค้นหาข้อมูลด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ รวมถึงการทำแท้งด้วยยาบนยูทูปและเฟสบุ๊ค ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียที่ประชากรกลุ่มนี้ใช้กันมากที่สุด
จากการสำรวจพบว่าในปีพ.ศ. 2562 ประชากรทั่วโลกมีจำนวน 7.676 พันล้านคน
- มี 67% ใช้โทรศัพท์มือถือไม่ซ้ำหรือเปลี่ยนมือถือบ่อย
- 57% เป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
- 45% เป็นผู้ใช้โซเชียลมีเดีย
- 42% เป็นผู้ใช้โซเชียลมีเดียบนมือถือ
- มีผู้สมัครใช้มือถือ 25.04 ล้านคน หรือ 153%
- ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 12.5 ล้านคน หรือ 76%
- ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 8.4 ล้านคน หรือ 51%
- ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย บนมือถือ 8.1 ล้านคน หรือ 49%
- ในการตั้งค่าบัญชีและดาวน์โหลดต่าง ๆ นั้น ต้องขึ้นอยู่กับบุคคลอื่น เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์เป็นคนทำให้
- โดยเฟสบุ๊คและยูทูปเป็นแอพพิเคชั่นที่มีคนใช้มากที่สุด แต่การค้นหาโดยใช้กูเกิล นั้นแทบ ไม่เป็นที่ รู้จักเลย
- คนงานในโรงงาน ชอบดูวิดีโอ และมีการสื่อสารแบบไม่ใช้ข้อความ แต่มีการโต้ตอบกันในโซเชียลมีเดีย เช่น
กดไลท์ แชร์ หรือส่งอีโมจิ
- คนงานในโรงงานผลิตเสื้อผ้าไม่ทราบถึงวิธีค้นหาวิดีโอหรือเพลงในยูทูปและเฟสบุ๊คผ่านสมาร์ทโฟน แต่พวกเขา ใช้เฟสบุ๊คเพื่อความบันเทิง ซึ่งถ้าหากพวกเขาต้องการทราบเกี่ยวกับการคุมกำเนิดหรือการวางแผนครอบครัว พวกเขาเลือกที่จะถามเพื่อนของพวกเขาแทนการไปที่คลินิก หรือหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต
- นักวิจัยได้ทำการค้นหา โดยใช้คำค้นเป็นภาษาเขมร และคำถามที่เกี่ยวข้องกับการคุมกำเนิด และการทำแท้งด้วยยาจากเฟสบุ๊คและยูทูป แต่กลับไม่พบว่ามีวิดีโอใดที่มาจากองค์กรพัฒนาเอกชนหรือรัฐบาล แต่ถ้าค้นหาด้วยการใช้ ภาษาอังกฤษ จะพบว่ามีวีดีโอดังกล่าวสำหรับคนที่เข้าใจภาษาอังกฤษ ซึ่งวิดีโอส่วนใหญ่นั้นอัปโหลดโดยคลินิกสุขภาพเอกชนและสื่อต่าง ๆ ซึ่งการผลิตไม่ค่อยมีคุณภาพเท่าไร แต่ง่ายในการติดตามและปฏิบัติตามคำแนะนำ รวมถึงผู้ผลิตเนื้อหาเหล่านี้มักจะตอบคำถามในข้อความคิดเห็น
ผลกระทบ:
สำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพนั้น ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือความเป็นส่วนตัวและผู้คนจำเป็นต้องรู้สึกว่าพวกเขากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ และต้องมีหลายช่องสัญญาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ในเว็บไซด์ / คำอธิบายในวิดีโอ / การโพสต์ในเฟสบุ๊ค / คำสำคัญและคำค้นหาต่าง ๆ นั้น ควรให้มีภาษาที่หลากหลายในการค้นหา เช่น ศัพท์ทางการแพทย์ คำที่เป็นคำนิยม และคำแสลง เพื่อทำให้สามารถค้นหาเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
- วิดีโอการเรียนการสอนนั้น ควรมีภาษาท้องถิ่นที่มีเนื้อหาที่ถูกต้อง เพื่อให้สามารถเข้าถึงง่าย และนำไปปฏิบัติได้ รวมถึงควรปรับให้เหมาะสม สำหรับยูทูปและเฟสบุ๊ค และง่ายสำหรับการค้นหา
ข้อมูลออนไลน์ของสื่อกัมพูชา:
- เฟสบุ๊คมี ผู้ติดตาม 87,000 คน โดย 52% ของผู้ติดตามเป็นวัยรุ่น ซึ่งได้รับ 300 ข้อความต่อเดือน โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำแท้งอย่างปลอดภัย การคุมกำเนิด สุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ และการตีตรา
- โทรศัพท์สายด่วนได้รับโทรศัพท์ 1,200 สายต่อเดือน มีการส่งต่อ 300 คนต่อเดือน ซึ่ง 23% ของผู้โทรเป็นวัยรุ่น มีการทำการนัดหมายให้ และการให้คำปรึกษาที่เป็นมิตรทางโทรศัพท์ อีเมล และข้อความ
- วิดีโอแนะนำวิธีการทำแท้งด้วยยา มีผู้เข้าชม 59,000 ครั้ง โดยมี 25,000 (สองหมื่นห้าพัน) ครั้ง ภายใน 2 อาทิตย์ มีคน 2,000 คนใน เฟสบุ๊ค เข้าร่วม และมีผู้เข้าชมยูทูป 4,300 ครั้ง ซึ่ง 82% มาจากการค้นหาคำว่า การทำแท้ง
การสื่อสารหลายช่องทางนั้น ทำให้คนมีโอกาสในการเข้าถึงได้ง่ายและมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังมีความท้าทายที่ซับซ้อน อันได้แก่
- ผู้หญิงที่มีโทรศัพท์เป็นของตัวเองนั้น สามารถกำหนดค่าความเป็นส่วนตัวของการโต้ตอบที่ ส่งผ่านทางเฟสบุ๊ค เมสเซนเจอร์ และไลน์ได้ แต่สำหรับผู้หญิงในชนบทที่ไม่มีโทรศัพท์เป็นของตัวเอง ทำให้พวกเธอ ต้องใช้ของสามี ที่อาจจะเปลี่ยนเบอร์โทร และโปรไฟล์เฟสบุ๊คอยู่บ่อย ๆ
- งานออนไลน์ในการให้ข้อมูลจะไม่มีค่า หากไม่มีการส่งต่อ ซึ่งจะกลายเป็นการทำงานที่สูญเปล่า ในด้านงบประมาณ และส่งผลต่อความไม่ยั่งยืนในระยะยาว
- ความรู้เพียงเล็กน้อยของผู้ใช้งานในการสื่อสารที่ต้องแยกระหว่างความเป็นสาธารณะหรือความเป็นส่วนตัว
- มีข้อมูลเล็กน้อยของผู้ใช้งาน และผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ นอกจากข้อมูลเหล่านี้ จะอ้างอิงทำให้ผู้ใช้งาน กลายเป็นผู้รับบริการได้
- คำตอบซ้ำ ๆ หลายครั้ง สำหรับคำถามทั่วไปที่ได้ตอบไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามควรมีการปรับเปลี่ยนคำตอบในแบบของแต่ละคนจะเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงผู้ใช้ได้
วารุณี ขัติเตมี
รายงาน
Warunee Kuthithamee วารุณี ขัติเตมี รายงาน
1 November 2020